สมมติว่าวันปีใหม่

“สมมติว่า วันปีใหม่”
เคยเขียนไว้ในนิตยสาร ฅนคอเดียวกัน เมื่อปีใหม่ 2553 ครับ ค้นไปเจอเข้า เลยเอาเรื่องเก่า มาสวัสดีกันใหม่ :]

สมมตินะครับสมมติ สมมติว่า ‘วันขึ้นปีใหม่’
พระท่านสอนว่า ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นเรื่องสมมติ
หล่อ สวย รวย จน ลาภ ยศ หรือแม้แต่ วันเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ติ๊ต่างขึ้นมาทั้งนั้น
อย่างเทศกาลครบรอบ 1 ปี ที่เราเพิ่งจะ แฮปปี้นิวเยียร์ กันไปหมาดๆ นี้ ก็มาจากการสมมติของคนโบราณ ที่คำนวณระยะเวลาที่โลกเล่นอีมอญซ่อนผ้า เดินทางวนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ มาแทนค่า สมมติว่าเป็นเวลา 1 ปี…ก่อให้เกิดการสมมติ -ฤดูกาล เดือน วัน ชั่วโมง นาที วินาที-ตามมาอีกมากมาย จนโลกมีระบบและระเบียบมากขึ้นจากการสมมติ…
อีกกุศโลบายหนึ่งที่มนุษย์แต่งตั้ง ‘วันขึ้นปีใหม่’ ขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่ต้องการชีวิตใหม่ หลังจากที่พ่ายแพ้ในปีที่ผ่านมา มาถึงปีใหม่นี้ จะขอเข้าประจำที่ รอฟังเสียงปืนเพื่อออกสตาร์ทสู่ลู่วิ่งชีวิตอีกครั้ง เป็นวาระอันดีที่จะ ‘เลิก’ และ ‘เริ่ม’ อะไรหลายๆ อย่างที่เคยรับปากกับตัวเองและคนรอบข้างเอาไว้
จะว่าไปแล้ว มนุษย์เราน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่มี ‘เทศกาลปีใหม่’
แม้จะอยู่บนโลกเดียวกันแท้ๆ แต่ผมก็ไม่เคยเห็น ลิงจัดปาร์ตี้เคาท์ดาวน์ และก็ไม่เคยได้รับ ส.ค.ส.จากแมวตัวไหนเลยสักครั้ง
ดังนั้นไม่ว่าปีใหม่จะเวียนมาสักกี่รอบ ลิงและแมวทั้งหลายก็ไม่เคยรู้สึกรู้สา หรือคิดจะปรับปรุงตัว ลิงเคยซนอย่างไรก็ยังก่อกวนทำลายข้าวของอยู่อย่างนั้น แมวเคยอึตรงไหน ก็ยังคงแอบเข้าไปอึส่งกลิ่นเหม็นแก่เจ้าของบ้านอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง…
นี่จึงเป็นข้อดีของมนุษย์ ที่มีการสมมติ ‘วันเริ่มต้นของการปรับปรุงตัว’ ขึ้น ซึ่งจะหวนกลับมาทุกๆ 365 วัน…มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่มีสิทธิแก้ตัวใหม่เสมอ ตราบใดที่โลกยังไม่หยุดหมุนรอบดวงตะวัน
ฉะนั้นขึ้นปีใหม่นี้ เคยสัญญาอะไรกับใครเอาไว้ก็รีบทำนะครับ หากยังมัวผลัดปีประกันพรุ่งอยู่ จะปีใหม่กี่ทีกี่หนก็ไร้ความหมาย อยู่กับชีวิตแบบเดิมๆ เหมือนลิงเหมือนแมวไม่รู้ด้วย :]
สวัสดีปีใหม่ครับ…

ใกล้มาก รู้จักน้อย

เดือนที่แล้วมีหนังสือมาสัมภาษณ์ผมเรื่องการเดินทาง คงเห็นผมได้เดินทางไกลบ่อยๆ ยิ่งระยะหลังๆ ได้บินข้ามแดนข้ามทวีปอยู่เรื่อยๆ คำถามสุดท้ายเขาเลยถามว่ามีที่ไหนที่ผมยังอยากจะไปเยือนอีกบ้าง? ผมตอบถึงสถานที่ที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นข้อแรก ว่า “วัดพระแก้ว”
….จากใจจริง นี่เป็นที่ที่ผมอยากกกกไปมากที่สุดในเวลานี้ และสามารถไปได้ทันทีโดยไม่ต้องวางแผน(มากนัก) ผมว่าวัดพระแก้วเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ใกล้ตัวเราที่สุด โดยที่เรารู้จักน้อยที่สุด
….ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จักวัดพระแก้วเลย รู้ว่าเป็นวัดใหญ่ๆ ไม่มีพระสงฆ์ อยู่แถวสนามหลวง แต่ถ้าถามต่อว่า ในวัดนั้นมีอะไรบ้าง วัดนี้มีไว้ทำอะไร ผมจะเริ่มอ้อมแอ้ม ตอบมั่วซั่ว เหมือนคนสายตาสั้นที่กำลังถูกทดสอบสายตาถึงบรรทัดเล็กจิ๋วที่ติดอยู่บนผนังโน่น… ความรู้เกี่ยวกับวัดคู่บ้านเกิดเมืองนอนของผม นั้นเลือนลางเช่นนั้นจริงๆ /
จำได้ว่าคนแรกที่แนะนำให้ผมรู้จักกับวัดพระแก้วแบบ 3D คือคุณครูตอนชั้นประถม ที่อุตส่าห์พาไปทัศนศึกษา แต่เด็กน้อยชณัฐ (และเพื่อนแทบทั้งห้อง) ก็คงจะไร้เดียงสาเกินกว่าจะมายืนทึ่งในความงามของพระแก้วมรกต ถูกสะกดกับสถาปัตยกรรมอันอลังการ หรือไล่ติดตามจิตรกรรมฝาผนังรามเกียรติ์อย่างใกล้ชิด…..
เด็กๆ ที่ได้ออกจากรั้วโรงเรียนพร้อมเพื่อนเป็นโขยงเป็นครั้งแรก กำลังมีความเพลิดเพลินกับการวิ่งไล่เอานิ้วจิ้มตูดกันไปรอบๆ วัด แอบย่องไปแหย่ฝรั่งแล้ววิ่งหนี รู้ตัวอีกทีคุณครูก็เรียกขึ้นรถกลับโรงเรียนเสียแล้ว
พระแก้วมรกตหน้าตาเป็นยังไง….กลับไปดูรูปบนบอร์ดหน้าห้องที่เพื่อนเคยทำไว้เอาละกัน /
ไม่รู้ว่าไอเดียการพาเด็กประถมไปทัศนศึกษาที่วัดพระแก้วนี้ใครเป็นคนคิด จะมีเด็กในวัยนั้น วันนั้น สักกี่คนที่ได้รู้จักกับวัดพระแก้วอย่างถ่องแท้และซาบซึ้งมากขึ้นสักกี่บทกี่บรรทัด นึกแล้วก็เจ็บใจในความกะเรวกะราดของตนเองในวัยเกรียน ที่ไม่ยอมใฝ่หาความรู้กอบโกยมาตั้งแต่วันนั้น ทำให้โง่มาจนถึงวันนี้…..
เอาเป็นว่า คำตอบที่ตอบหนังสือไปวันนั้นออกมาจากใจจริง เรามัวแต่ชื่นชม ศึกษาข้อมูลของโบสถ์ วิหาร แลนด์มาร์ค ตึกรามบ้านช่องของชาติตะวันตก-ตะวันออกอย่างชื่นชม ไปยืนทึ่งน้ำตาไหล ถ่ายภาพจนฟิล์มหมดม้วน แต่ของดีในบ้านเราที่เต็มไปด้วยความงามทางสถาปัตยกรรม ศิลปะ วรรณกรรม ความเชื่อ
ที่สำคัญคือประวัติศาสตร์ของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ของไทยเราอัดแน่นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ทั้งสิ้น กลับรู้จักแต่เพียงน้อยนิด
เพราะฉะนั้นใครมีข้อมูลการเที่ยววัดพระแก้วแบบดีดีก็แนะนำด้วยนะ
ปล.วันปีใหม่ วัดพระแก้วเปิดไหม?

ง้อ

ผมว่ากิจกรรมที่มนุษย์ต้องใช้พลังงานมากที่สุดก็คือ การง้อ

แต่กิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากกว่า การง้อ ขึ้นไปอีก ก็คือ การง้อโดยไม่รู้สาเหตุของการงอน

ร้อยปีไททานิค ล่ม แต่ไม่จม

Image

วันนี้ไปดูนิทรรศการ ไททานิคครบ 100 ปี (100th Anniversary 1912-2012 TITANIC) ที่มาจัดที่เมืองไทยตั้งหลายเดือนแล้ว จนกระทั่งจะหมดเขตในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ย. 55) เลยรีบไปดูก่อนที่งานดีๆ อย่างนี้จะจากเราไปต่อหน้าต่อตา เหมือนที่แจ๊คจมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตาโรสในฉากท้ายหนังเรื่องไททานิค

จะว่าไป เรานั้นถูกแนะนำให้รู้จัก ‘ไททานิค’ ก็จากภาพยนตร์รักอมตะนิรันกาลเรื่องนั้นนั่นเอง แต่เรื่องราว “ชู้รักเรือล่ม” จะเป็นเรื่องแต่งขึ้นหรือมีอยู่จริง, บ่าวสาว “แจ็คกะโรส” ที่เคยยืนกาง “แจ๊กกะแร้” ที่หัวเรือ ให้ลมโกรกเล่น จะเคยเป็นการละเล่นที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เราก็ไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆ เจ้าเรือยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในสมัยนั้นที่ชื่อว่า “ไททานิค” มีอยู่จริง และนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ท้องสมุทรแอตแลนติคมายาวนานครบ 100 ปีแล้ว

ก้าวย่างเข้าไปสู่ความหนาวเหน็บและมืดมิด ในส่วนของนิทรรศการทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ละห้องที่ถูกลำดับไว้ถูกออกแบบ วางแผนอย่างแนบเนียน และค่อยๆ พาเราทำความรู้จักกับ “เรือที่ไม่น่าจะมีวันจม” ตั้งแต่ขั้นตอนความอลังการในการก่อร่างสร้างตัว แนวคิดในการออกแบบเรือสุดหรูหรา ห้องถัดๆ มาก็พาเราเข้าไปในส่วนต่างๆ ของเรือ จำลองบันไดกลางกันโอ่โถง ส่วนของห้องพักชั้นเฟิร์สคลาส แสดงประเภทชนชั้นของผู้โดยสารตั้งแต่ชั้นสูงสุดไปจนถึงต่ำสุด และที่เป็นไฮไลท์ก็คือ การนำ “ของจริง” ไม่ว่าจะป็นส่วนประกอบชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ของเรือไททานิค ข้าวของเครื่องใช้ของผู้โดยสาร ที่เคยจมไปกับไททานิค ก็ถูกงมขึ้นมา นำมาจัดแสดงให้เราได้เห็นเป็นบุญตา

สิ่งที่น่าชื่นชมของนิทรรศการนี้คือนอกจากจะได้ความรู้เรื่อง “เรือลำใหญ่ที่ชนภูเขาน้ำแข็งจมน้ำ” แค่นี้แล้วกลับบ้าน….เรายังรู้สึกถูกชักชวนให้รู้จัก “ชีวิต” ของคนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี การแบ่งชนชั้นวรรณะของผู้โดยสารผ่านทางข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งแม้แต่จานชาม หวี อ่างล้างหน้า กระโถนถุยน้ำลาย ใบมีดโกน และอีกหลายสิ่งของที่นำมาโชว์ ล้วนถูกเขียนบรรยายอย่างละเอียด และชวนวิเคราะห์ถึงความหมายที่สะท้อนถึงชีวิตของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี นิทรรศการของไทยที่นิยมบรรยายสั้นๆ แค่ชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น “ตู้ไม้” จบ… น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนัก

นอกจากนี้ยังได้เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจในการให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ แม้จะจมอยู้ใต้ท้องทะเลลึก 2.5 ไมล์ใต้ผืนน้ำ มีแรงดันมหาศาลเป็นอุปสรรค เขาก็ยังคิดค้นวิธีการ ‘งม’ สิ่งของชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ชิ้นใหญ่ ขึ้นมา เก็บรักษาประคบประหงมด้วยกรรมวิธีแบบพิเศษให้รักษาสภาพคงเดิมให้มากที่สุด แล้วนำมาปะติดปะต่อ รู้ถึงที่มาที่ไปของชนชั้นแรงงานในห้องเครื่อง ไปจนถึงมหาเศรษฐี ซึ่งน่าสนใจมากๆ และทำให้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ไม่ได้จมหายไปอยู่ใต้น้ำ….แตกต่างจากบ้านเรา…

ผมเคยคุยกับทีมมืออาชีพรับขายของเก่า ทุบตึก เก็บกู้ซากปรักหักพังทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องบินยันเรือเดินทะเล เขาเล่าให้ฟังว่าใต้ท้องทะเลอ่าวไทย มีซากเรือเดินทะเลนอนแน่นิ่งอับปางอยู่เป็นร้อยลำ! บางลำมีอายุเป็นร้อยปี (ซึ่งเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับไททานิคได้เลย) แต่สถานภาพของเรือเหล่านั้นตอนนี้เปรียบเสมือน “ขยะ” กีดขวางร่องน้ำ ที่กรมเจ้าท่าอยากจะกำจัดทิ้ง   เหมือนอยากหยิบไม้กวาดมาเขี่ยขี้หมาให้ออกไปจากฟุตบาทหน้าบ้าน จึงวานให้ทีมเก็บกู้ซากทีมนี้มาจัดการไม่ให้เหลือ

ส่วนจะเอาไปทำอะไรนั้น “ตามสบาย”

ผมจึงถามพี่เขาว่า พี่จะเก็บซากเรือขึ้นมาอย่างไร? เขาก็อธิบายแผนการณ์เป็นฉากๆ ถึงระบบวิศวกรรมที่น่าทึ่ง ด้วยการดูดเศษเหล็กใต้น้ำขึ้นมาด้วยแม่เหล็กแรงสูง จากนั้นก็ดูดเรือขึ้นมาที่ผิวน้ำ ส่งทีมประดาน้ำมืออาชีพลงไปใช้ลวดเชื่อมตัดเหล็กใต้น้ำ ตัดแบ่งเรือทั้งลำให้เป็นเหล็กชิ้นๆ  ก็จะได้เหล็กหลายตัน มูลค่าประเมินไม่ได้ ขายสู่โรงงานหลอมเหล็กและรายได้เข้ากระเป๋าตุงๆ เคลียร์การจราจรทางน้ำได้ คนเดินเรือก็แฮปปี้ กรมเจ้าท่าก็แฮปปี้ โรงหลอมเหล็กก็แฮปปี้ …

ผมมาดูนิทรรศการวันนี้แล้วอดดีใจไม่ได้ ที่ไททานิคไม่ได้มีแผนมาแล่นผ่านแถวอ่าวไทย แล้วมาชนกับเหี้ยไรซักอย่างแล้วล่มจมลงแถวนี้ มิเช่นนั้น ช้อนเคลือบทองคำเอย หวูดเรือโบราณเอย ตะเกียงไฟลูกเรือเอย ตุ๊กตาเทวดาโลหะเอย ที่ถูกรักษาอย่างดีในนิทรรศการวันนี้ อาจกระจายตัวอยู่ที่คลองถมในราคาไม่เกิน 450 บาท

นี่ป็นอีกตัวอย่างหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อรายละเอียด ต่อการจดบันทึก ต่อรากเหง้า ระหว่างเรากับเขา ไม่เท่ากันจริงๆ ต้องยอมรับ

สิ่งของที่เขาเก็บรักษาขึ้นมาผูกเป็นเรื่องเป็นราวนั่นแหละ ที่ทำให้เราได้รู้จัก “คน” ที่อยู่บนเรือไททานิค ณ เวลานั้น ได้มากมาย ผมทึ่งที่นิทรรศการมีข้อมูลของผู้โดยสารอย่างละเอียด รู้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน ทำอาชีพอะไร มีเมียมีลูกกี่คนชื่ออะไรบ้าง ขึ้นไททานิคคราวนี้มากับเมียน้อย ชื่ออะไร กำลังจะเดินทางไปไหน มีแผนอนาคตจะไปทำธุรกิจอะไรที่นั่น จดหมายที่เขียนถึงเพื่อนก่อนจะขึ้นเรือเขียนไว้ว่าอย่างไร ฯลฯ หลายเรื่อง หลายคน เหล่านี้ทำให้นิทรรศการนี้มีมิติขึ้นมามากๆ ทำให้ไททานิคมีชีวิต และทำให้คนไทยหัวดำๆ ที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกับคนเหล่านั้นกลับรู้สึกอิน และขนลุกตามไปด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ (หรืออาจเป็นเพราะแอร์หนาวก็เป็นได้)

Image

กิจกรรมสนุกๆ ที่น่ารักของคนจัดงาน ที่ต้องขอคารวะในไอเดียจริงๆ ก็คือ ที่ทางเข้าของนิทรรศการจะมี “บัตรเชิญขึ้นไททานิค” ให้หยิบเข้ามาคนละใบ โดยไม่บอกว่าเอาไว้ทำอะไร เดินไปเดินมาลองพลิกดูด้านหลังบัตรก็จะพบว่าไม่ใช่บัตรเชิญของเรา แต่ละใบจะมีชื่อผู้โดยสารไททานิคในยุคนั้นจริงๆ ระบุอยู่ แต่ละบัตร ชื่อคนก็ไม่เหมือนกัน แถมยังบอกเล่าเรื่องราวชีวิตคร่าวๆ ของเจ้าของบัตรเอาไว้ด้วย…ทำให้เรารู้สึกว่าเราขึ้นมาบนไททานิคในนามของมิสเตอร์คนนี้ และที่ผนังในห้องสุดท้าย ที่จะมีรายชื่อของผู้โดยสารและลูกเรือ 2 พันกว่าคนในไททานิค ที่บอกว่าผู้ใดรอดตายและผู้ใดสูญหาย ติดไว้บนผนังใหญ่ ก็มีคนมุงดูมากมาย หลายคนยิ้ม หยอกเย้า สะกิดแซวกัน ว่าชื่อคนบนบัตรที่เราถือเข้ามานี้ รอดหรือไม่?

เป็นวิธีคิดที่ทำให้คนหันมาสนใจบอร์ดขาวๆที่มีแต่ชื่อคน อย่างได้ผลนัก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมาก ทำให้หัวใจของผม my heart will go on มากๆ ก็คือ โซนดราม่า ของนิทรรศการแห่งนี้ เป็นแค่ทางเดินแคบๆ แต่เล่าถึงเรื่องราว วินาทีหนีตายก่อนที่ยักษ์ใหญ่ไททานิคจะจมลงสู่ท้องทะเล มีทั้งความโกลาหล การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จุดผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ทำให้มีคนตายมากขนาดนี้ (เช่นการตัดสินใจลดจำนวนเรือชูชีพลงครึ่งนึงก่อนออกเรือ, เรือชูชีพที่ใช้หลายลำขณะเกิดเหตุ มีคนไม่เต็มลำเรือ บางลำมีไม่ถึง 20 คนซึ่งเรือสามารถรับได้ถึง 65 คน!) ได้เห็นถึงความเสียสละ ดังจะเห็นว่าผู้ที่จะได้ลงเรือชูชีพไปก่อนนั้นจะเป็นสตรีและเด็กก่อน สังเกตจากผู้ชายแทบไม่มีใครรอดจากเหตุการณ์นี้ และที่ประทับใจที่สุดก็คือ นักดนตรีทั้ง 8 คน ที่ไม่ได้รับสิทธิให้ลงเรือชูชีพไปกับผู้โดยสาร พวกเขาถูกสั่งให้บรรเลงเพลงคลาสสิคขับกล่อมผู้โดยสารให้อยู่ในความสงบ ขณะที่เรือกำลังค่อยๆ จมลง พวกเขาเลือกเล่นเพลง nearer my god to thee (ผมจำชื่อเพลงได้จากบอร์ดนิทรรศการ แต่ไม่รู้ว่าเพลงนี้หมายถึงอะไร) ซึ่งเป็นเพลงที่เขาอยากให้บรรเลงในงานศพของเขา…นักดนตรีทั้งหมดไม่มีใครรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้

มันเป็นความหดหู่ที่น่าปรบมือทั้งน้ำตา…

เอาล่ะ ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ก็จะบอกว่าถ้ามีโอกาสก็แวะไปดูกันหน่อย เรือไม่ได้ล่มกันบ่อยๆ เอ้ย! นิทรรศการดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาจัดให้ดูกันบ่อยๆ

จุดไม่ดีก็มีบ้างแต่ก็อย่าไปติดใจ เช่น แอร์หนาวมากจนอยากจะกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งไปพุ่งชนคนเปิดแอร์ซะเอง หรือการห้ามถ่ายรูปในนิทรรศการ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายรูปให้ที่หน้าบันไดกลางอันเป็นสัญลักษณ์ของเรือไททานิค ซึ่งเราต้องเสียค่าบริการในราคา 300-500 บาท แลกกับรูปที่มีแฟลชสว่างจ้าอัดหน้าจนเห็นชัดแต่บันไดมาเป็นของที่ระลึก

แต่ส่วนดี น่าทึ่งนั้นมีมากมายจนน่าบันทึกไว้ในความทรงจำ

ไหนๆ เราก็ไม่ค่อยได้เก็บ ได้จดจำประวัติของบ้านเรา ก็ไปดูวิธีการทะนุถถนอมประวัติศาสตร์บ้านเขาบ้างก็ยังดี

อ้อ….วันที่ท่านได้อ่านบล็อกนี้จะเป็นวันสุดท้ายของ นิทรรศการแล้ว 2 ก.ย. ใครออกจากบ้านทันก็รีบไป ใครไปดูมาแล้วก็มาคุยกันได้ครับ (เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 8)

ตี 3 แล้ว แจ๊คขอตัวไปนอนก่อนนะโรส

มีอะไรหนุกๆ จะเอามาเล่าใหม่

ราตรีสวัสดิ์ บุ๋งๆ

จำเลยส้วม

“ไม่รู้แม่งเกิดมาจากคนหรือรากหญ้าเน่าๆ” แม่บ้านร่างท้วมพึมพำเสียงดัง ระหว่างที่ตวัดไม้ม็อบไปบนพื้นอย่างรุนแรง ในขณะที่ผมกำลังหันหน้าเข้าหาโถฉี่…/ 
“ทำที่บ้านเลอะไม่พอรึไง ถึงมาทำห้องน้ำที่อื่นสกปรก ไร้สำนึก!” เธอหมายถึงชายนิรนามที่ทิ้งคราบเลอะเทอะไว้ ไม่เพียงแค่บนพื้นห้องน้ำแห่งนี้ แต่คราบสกปรกยังคงเกาะเกรอะกรังในอารมณ์ของเธอโดยที่ ‘เป็ด’ สีไหนก็ขจัดได้ยากในวินาทีนี้
“ระยำ!” เธอกระแทกเสียง เล่นเอาชายหนุ่มทั้งหลายในห้องน้ำรีบเบียดตัวออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงแค่ผมคนเดียวที่ภารกิจยังค้างคา เผชิญหน้ากับกำแพง ไปไหนไม่ได้ เหมือนแมลงน้อยที่ติดใยเหนียว โดยมีแมงมุมผู้เกรี้ยวกราด กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกระทุ้งไม้ม็อบมาถูบริเวณใต้หว่างขา….
จิตใจก็เพ่งภาวนา รวบรวมพลังลมปราณไปเชียร์อวัยวะส่วนนั้นให้สำเร็จเสด็จน้ำแต่เร็วไว
“อย่าให้เจออีกนะ จะด่าให้…….
หึ้ยยย…..ไอ้หัว_วย!!!!!”
สิ้นเสียงคำท่อนสุดท้าย ผมสะดุ้งโหยง รีบเข้าสู่ท่า ‘เรียบอาวุธ’ รูดซิบ เก็บสัมภาระเข้าที่กำบัง แล้วรีบเผ่นออกมาจากพื้นที่อันตรายพร้อมเป้าเปียกๆ 
ปล่อยให้แม่บ้านเจ้าอารมณ์เผขิญหน้ากับความชิงชังเพียงลำพัง…ในส้วม

นิทานอีกบ ตอนที่ 1 / โดย กองโต

นิทานอีกบ : ตอนที่ ๑ คำสั่งเสียของนกฮูก
โหมด : ดราม่า ห้าดาว

นกฮูก อยู่ด้วยกันสองตัวพ่อ-ลูก ตามลำพังในป่าลึก นับจากแม่นกฮูกจากไปอย่างลึกลับ นกฮูกตัวพ่อก็เฝ้าเลี้ยงดูลูกนกอย่างทะนุถถนอม หวังให้ลูกเติบใหญ่ แข็งแรง และสักวันจะได้บอกความลับที่ปกปิดไว้มาแสนนาน
คืนหนึ่ง ระหว่างที่พ่อนกฮูกบินโฉบลงไปจับงูเพื่อมาเป็นอาหารให้ลูก กลับพลาดท่า ถูกงูเห่าแว้งฉกเข้าที่เบ้าตา พิษแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ดวงตาพร่ามัว ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ไม่สามารถขยับปีกได้
แต่เขายังตายไม่ได้ หากยังไม่ได้เจอหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย…
เป็นเวลาเกือบทั้งคืน ที่ลูกนกหัดบิน พยายามตามหาพ่อที่หายไปตั้งแต่หัวค่ำ ปกติพ่อไม่เคยกลับผิดเวลาขนาดนี้ อาจเป็นเพราะหิวจนทนไม่ไหว และเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ จึงสะสมเป็นความกล้า ให้ยอมขยับปีก บินตุ๊บปั๊ดตุ๊บเป๋ ออกจากรังในยามวิกาล แต่โอกาสที่จะเจอพ่อในป่าอันกว้างใหญ่ นั้นริบหรี่ยิ่งกว่าแสงจันทร์ข้างแรมในคืนนี้
ด้วยความบังเอิญหรือแรงจิตสื่อระหว่างพ่อลูก ลูกนกโซเซมาพบร่างนกฮูกตัวใหญ่ ที่นอนแน่นิ่งอยู่ใกล้พงหญ้า นกน้อยมั่นใจว่าเป็นพ่อของเขา ถลาเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ
ใช่ พ่อนกฮูกจริงๆ แต่อยู่ในสภาพร่างกายที่หมดสิ้นแรง ลมหายใจรวยริน
พ่อนกรวบรวมพลังลืมตาดูลูกนก ที่กำลังส่งเสียงร้องฟูมฟายไปทั่วความมืดในคืนที่เย็นจับใจ แต่พ่อกลับนึกขอบคุณพระเจ้าที่เมตตา อย่างน้อยภาพสุดท้ายของชีวิตก็เป็นภาพสิ่งมีชีวิตที่เปรียบปานดวงใจของเขา…
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะฝากฝัง แต่ก็รู้ทันชะตา ว่าไม่มีเวลามากขนาดนั้น จึงเหลือสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียว ที่เก็บงำไว้ในใจตลอดมา
นี่แหละ คือเวลาที่เหมาะสมแล้ว ลูกน้อยจำเป็นต้องได้รู้ความจริง ก่อนที่มันจะสูญหายไปพร้อมกับลมหายใจของเขา
ดวงตากลมโตที่อ่อนแรง มองมาที่ลูก ดึงดูดให้ลูกนกเงี่ยหูเข้ามาฟังใกล้ๆ
พ่อนก สำลักก้อนเลือดที่จุกอยู่ที่คอ ให้น้ำสีแดงข้นไหลออกมาจากช่องจะงอยปาก เขามีโอกาสเพียงแค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้นก่อนจะจากโลกนี้ไป
นกฮูกตัวพ่อรวบรวมพลังสุดท้าย แล้วบอกกับความลับกับลูกน้อยออกไป….
“ฮูกกกกกกกกก….”

จบ

(ทำไม…แกจะให้นกฮูกมันพูดว่าอะไร? นกฮูกร้อง “ฮูก” ก็ถูกแล้วไ

Apple Everywhere :]

เด็กเชื้อสายจีนคนหนึ่งกำลังเผา บ้านกระดาษ ไปให้ญาติผู้ล่วงลับ
นอกจาก บ้านกระดาษที่เป็นคฤหาสถ์ใหญ่โต ทันสมัยรถยนต์ MINI กระดาษ แล้ว
ยังมี Iphone และ Ipad กระดาษ ที่กำลังจะถูกเผา ทำให้ผมนึกกระหยิ่มยิ้มอยากแซว…
“นี่ น้อง ส่งไอโฟนไปให้อากงอาม่า แล้วไม่ส่งที่ชาร์ตแบตฯ ไปด้วยหรอ :]”
เด็กคนนั้นไม่ได้มองหน้าผม ส่ายหัวถอนหายใจ  

โยน Iphone Ipad กระดาษลงกองไฟ…

“ไปหาซื้อทีหลังได้ สตีฟ จ็อบ อยู่บนนั้น”…..

แหล่ ปลอบใจ โลโม่ ^^

Imageกึกๆกักๆ โลโม่ในลิ้นชักนั้นอยากออกมา
เร็วๆ ไวไว หาโอกาสไป ถ่ายมั่ว สักครา
ตั้งแต่มีอินตาแกรม ตั้งแต่มีพี่ 4s โลโม่ทั้งเจ็ดนั้นหมองอุรา
อดทนอีกนิดนะ รอพ่ออีกหน่อยนะ เด๋วพ่อจะพาไปถ่ายซากุระ เดือนพฤษภาาาาาา
เฮชา เฮชาาาาาาาาาา

ความเจริญ

แวะเข้าปั๊ม เห็นน้ำมันขึ้นราคา แล้วก็พานึกไปไกลถึงเหตุผล
น้ำมันแพงขึ้นทุกวัน
เพราะน้ำมัน มีน้อยลงทุกวัน
น้ำมันมีน้อย เราก็ไปหาอย่างอื่นมาทดแทน
ปลูกพืชพลังงานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำลายดิน
สาหร่ายอยู่ใต้น้ำของมันดีๆ ก็ไปขุดไปงมมันขึ้นมา

ทุกอย่างมันอยู่ของมันดีดี

จริงๆ แล้ว เราก็เอาคำว่า ความเจริญ มาเบียดเบียนโลก
โดยที่ไม่รู้ว่า จะเจริญไปถึงไหน? เนอะ
เจริญไปถึงไหน?

เราพัฒนากันเพื่ออะไร
เพื่อให้ชีวิตอยู่สุขสบาย
หรือ ยากลำบากขึ้นกว่าเดิม?

หรือทั้ง 2 อย่าง
คือ ให้เราสุขสบาย แต่คนอื่นลำบากขึ้นกว่าเดิม?
คือ ถ้ามึงไม่กระโดดเข้ามาร่วมวงจรการพัฒนาอย่างข้า มึงก็จงไม่มีข้าวกินซะเถิด.. ประมาณนี้

คิดวนไปวนมา ก็เลยต้องหยุดคิด
เพราะเด็กปั๊มมาเรียกเก็บเงิน
เราชักบัตรเครดิต รูดปรื้ดดด บิดกุญแจรถ ติดเครื่อง ชึ่งงงงง!
แอร์เย็นฉ่ำ ไหลลอดผ่านหน้ากากเข้ากระทบผิวกาย
ลืมเรื่องรักโลกไปในพริบตา
แล้วทะยาน พาหนะออกสู่ถนนไปเผชิญ ‘ความเจริญ’ ต่อไป

สื่อ

เช้าวันนี้ ผมได้ยินคำว่า “สันดาน, เลว, ชาติชั่ว” จากปากพิธีกรสาว ในรายการข่าวเรตติ้งดีรายการหนึ่งของประเทศ หลังจากนั้นผมเข้าออฟฟิศ เเละพบว่ารายการของตัวเองถูกฟ้องดำเนินคดี ด้วยงานที่ผมทุ่มเททำด้วยเจตนาดีต่อผู้ชม… ไม่ได้เปรียบเทียบอะไรหรอก เเค่เริ่มสงสัยในอาชีพ สื่อ ที่ทำ …ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย