สิ่งสกปรก

ตอนเด็กๆ พ่อเคยบอกว่า ถ้าจับกระดาษหนังสือพิมพ์เเล้วให้ไปล้างมือ มันมีหมึก มีเชื้อโรค ไม่สะอาด…. โตขึ้นมา ได้เรียนรู้ว่า เนื้อข่าวในนั้นต่างหากที่ สกปรก ยิ่งกว่าเนื้อกระดาษ

11/11/11 ลอยกระทง คำขอโทษจาก….ถึงคุณ

คุณโกรธฉันหรือเปล่า ?

ฉันขอโทษ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ฉันไม่ได้อยากทำให้เรื่องมันเลวร้ายขนาดนี้

ฉันเข้าใจว่าคุณเหนื่อย ว่าคุณเจ็บ ว่าคุณทุกข์ ว่าคุณเศร้า ว่าคุณสูญเสีย ว่าคุณลำบาก

…เพราะฉัน

ฉันก็เสียใจ เสียใจที่ทำร้ายคุณ เสียใจจนอยากร้องไห้

แต่ไม่ควรหรอก ฉันรู้ หากฉันรินหลั่งน้ำตาให้ไหลออกมาในตอนนี้ มันยิ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างเราแย่ลงไปอีก…

ฉันเลยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี…

ในเมื่อทุกอย่างที่ฉันแสดงออกมา มันคือตัวฉัน มันคือธรรมชาติของฉัน มันคือ ‘สิ่งที่ฉันเป็น’ และไม่ว่าคุณหรือฉันก็เปลี่ยนมันไม่ได้!

คุณหรือเปล่า? ที่พยายาม ‘ควบคุม’ ฉัน เรื่อยมา

ควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณต้องการ พึ่งพาฉัน หลอกใช้ฉัน กักขังฉัน บีบบังคับฉัน

คุณทำทั้งหมดก็เพื่อคุณ คุณ และตัวคุณเอง และนับวันก็ยิ่งใส่ใจใน ‘ความเป็นฉัน’ น้อยลง เรื่อยๆ

แล้วฉันผิดหรือที่วันนึงจะออกนอกลู่นอกทางบ้าง อยู่เหนือการ ‘ควบคุม’ บ้าง

การกักขังกันไว้นานๆ มันยิ่งทำให้ฉันมีพละกำลังในการดิ้นรนหาอิสรภาพมากขึ้น

และวันนึงเมื่อมันระเบิดออกมา ก็กลับถูกมองว่า ฉันช่างอารมณ์ร้าย น่ากลัว เอาแต่ใจ ทำลายข้าวของ น่ารังเกียจ เป็นตัวปัญหา

เมื่อก่อน เราก็อยู่กันได้ไม่ใช่หรือ?

มีความสุขดี เข้าใจกัน พึ่งพากัน เธอรู้วิธีรับมือฉัน เวลาที่ฉันงอแง

แต่เวลาผ่านมาถึงวันนี้ ทำไมยิ่งอยู่กันนานไป ราวกับคุณรู้จักฉันน้อยลง

น้อยลง น้อยลง น้อยจนเหมือนแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ…

จริงๆ แล้ว ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า…ฉันทำอะไรผิด ?

ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่คุณเหนื่อยฝ่ายเดียวหรอกนะ ฉันก็เหนื่อย ฉันก็ทำงานหนัก

ฉันก็อยากกลับบ้าน ไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ไปให้พ้นหน้าคุณ

แต่มันไปไม่ได้….เพราะอะไรคุณเองก็คงรู้ดี

….

ลอยกระทงที่ผ่านๆ มา เราเคยมีเวลาที่ดีร่วมกัน

เรามีความสุข เราให้อภัย เรามีรอยยิ้ม

ลอยกระทงปีนี้มันช่างแตกต่าง จริงไหม?

แม้จันทร์เพ็ญ และดวงดาวจะเย้ายวนให้ฉันลุกขึ้นเต้นรำ เหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา

แต่ครั้งนี้คุณกลับตื่นตระหนก หวาดระแวง กรีดร้อง ราวกับที่ฉันลุกขึ้นมานั้น เพื่อเข่นฆ่า…

วันที่ 11 เดือน 11 ปี 11

เลขสวยๆ ที่อีกร้อยปีจึงจะวนกลับมาใหม่นี้ดูไร้ค่ากับการบันทึกลงในความทรงจำ

ปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างฉันกับคุณ

ฉันที่ทำให้คุณเดือดร้อน

ฉันที่ไม่ยอมเชื่อฟังคุณ

ฉันเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้

ฉันขอโทษ…

อย่าโกรธ น้ำ เลยนะ คนไทย ทั้งหลาย…

สุขสันต์วันลอยกระทง

มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่

เคยคิดไหมว่า ตัวเรา “เล็ก” แค่ไหน

ในโลกที่หลายคนอยากเป็น ใหญ่

รูปลักษณ์ ร่างกาย อำนาจ ชื่อเสียง ฐานะ

แข่งกันมี แข่งกันเยอะ แข่งกันใหญ่

ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี โอ้โห บนโลกนี้ ฉันช่างใหญ่เสียเต็มประดา

แต่เคยลองคิดไหมว่าจริงๆแล้วชีวิตเรานั้น เล็กกกกกกกกกก สักแค่ไหน

หากเทียบกับแผ่นดินประเทศ ตัวเราก็ไม่ต่างจากก้อนขี้มูกในโรงขยะอ่อนนุช

หากเทียบกับลูกโลก ร่างกายเราเล็กจิ๋ววววสักเพียงใด

หากเทียบกับขนาดของดวงอาทิตย์ ร่างกายของเรา ปะป๊า พี่เบิ้ม ไอ้เปี๊ยก…จะเห็นความแตกต่างไหม

หากเทียบกับจักรวาล … ตัวตนของเรายังจะมีอยู่หรือไม่ ?

เริ่มขำหรือยัง ที่ทำไมทั้งชีวิต เราแม่งมัวแต่แข่งกัน ‘ใหญ่’

มนุษย์เราไม่ต่างจากไวรัสของไวรัสของไวรัส หากเทียบกับจักรวาลที่นึกภาพไม่ออกว่าสิ้นสุดที่ตรงไหน

หาก จักรวาลคือร่างกาย

ระบบสุริยะคือระบบขับถ่าย

ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ดาวหาง คืออวัยวะ

ลูกโลกที่เราอยู่ คือ ติ่งอะไรสักอย่าง เล็กๆ ในร่างกาย

และมนุษย์อย่างเรา ก็คือไวรัสตัวร้ายที่อาศัย ใช้ชีวิต แพร่พันธุ์อย่างคึกคะนองบนติ่ง ติ่งนี้

หลายหมื่นพันปีที่ผ่านมา มนุษย์ก่อสร้าง ขุดเจาะ บุกรุก ทำลาย ปล่อยของเสีย โดยให้ความหมายกับสิ่งเหล่านั้นว่า “ความเจริญ”

มุนษย์เป็นไวรัสตัวเล็กๆ ที่ค่อยๆ กัดกินร่างกาย และกำลังทำให้ลูกโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็น “เนื้องอกเนื้อร้าย” ที่ใกล้จะตายลงทุกวัน

จักรวาลกำลังเป็นมะเร็ง มะเร็งตรงติ่งที่เรียกว่าโลก

“โลกมะเร็ง”

นานวันเข้า ติ่งนี้เริ่มป่วย เริ่มไม่สบาย เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ติ่งโลกเริ่มแสดงอาการออกมา

และก็พาไวรัสบนติ่งเดือดร้อน ตระหนกตกใจ กรีดร้องโวยวาย และทำหนัง “โลกจะแตกแล้ว /สัตว์ประหลาดบุกโลก” ออกมาเตือนสติกันอย่างหน้าไม่อาย -*-

พอติ่งเริ่มมีความร้อน ไวรัสก็ได้พบกับถิ่นที่อยู่ที่ร้อนขึ้นทุกวัน (ไวรัสก็เลยได้แคมเปญรณรงค์สุดเก๋ไก๋ว่า ลดโลกร้อนกันเถอะ)

พอติ่งเริ่มขยับเคลื่อนไหวไม่สบายตัว ไวรัสก็พบกับแผ่นดินไหวที่รุนแรง

พอติ่งเริ่มกักเก็บของเหลวไว้ไม่อยู่ ไวรัสก็ตาลีตาเหลือกหนีน้ำท่วมกันจะเป็นจะตาย

กี่หมื่นกี่พันปีแสนยาวนาน ที่ไวรัสมนุษย์กัดกินติ่งโลกให้ผุกร่อนตลอดมา – อาจเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 10 ปี ของร่างกายจักรวาล ที่ป่วยขึ้นตามกาลเวลา

ไอ จาม ฮัดเช้ย เกา กินยา ผ่าตัด แป๊บเดียว โรคจากติ่งนี้ก็จะหมดปัญหา

สักวันลูกโลกที่เป็นเนื้องอก เนื้อร้าย ก็จะกลายเป็นเนื้อตาย

ตายเพราะเนื้อมือไวรัสตัวจิ๋วๆ ที่เรียกว่ามนุษย์

เมื่อเนื้อตาย ไวรัสก็คงอยู่ไม่ได้

ก็คงตายไปพร้อมๆ กับติ่ง

จะช้าหรือจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าไวรัสเหล่านี้จะเพลาๆ มือกัดกินโลกกันน้อยลงได้บ้างหรือไม่

จะมีหัวคิดพอหรือไม่ที่จะเปรียบเทียบว่า น้ำท่วมอย่างนี้ เขื่อนหรือป่ากันแน่ที่ควรจะมีให้มากกว่าเดิม

จะใช้ปัญญาบ้างหรือไม่ ว่าจะละโมบหน้ามืด ลักลอบ กัดกร่อนโลกไปมากมายเพื่ออะไร ในเมื่อกระพริบตาอีกไม่กี่ที มึงก็ต้องตายจากโลกนี้ไป

ชีวิตเราก็มีความหมายเพียงเท่านี้ เป็นเพียงจุดเล็กจิ๋วเศษเสี้ยวผงธุลี ในระบบซูเปอร์มหามหึมาใหญ่โตมโหฬาร ที่พร้อมจะดับสลายไปพร้อมๆ กัน

100 ปี ของชีวิตมนุษย์ คงน้อยนิดเทียบไม่เท่า 1 วินาทีของชีพจรจักรวาลกระตุก

จะดิ้นรน อยากใหญ่ อยากโต อยากมี อยากได้กันไปเพื่ออะไร

มองตัวเราให้เล็ก เพื่อปัญญาและจิตใจที่ใหญ่ขึ้น…สาธุ

น้ำท่วม 2554

ศุกร์ 14 ต.ค. 2554

ผมมาอยู่ที่จ.พระนครศรีอยุธยา จังหวัดที่ตกอยู่ในวิกฤตอุทกภัยมากที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศในเวลานี้

ที่สะพานปรีดีธำรง วันนี้ ด้านล่างมีแม่น้ำป่าสักที่กำลังไหลเชี่ยว และเอ่อล้นขึ้นสูงอย่างมาก ราวกับคึกคะนองหรือเคียดแค้นใครมา ด้านบนสะพานไม่ใช้ที่สำหรับสัญจรอีกต่อไป แต่กลายเป็นที่จอดรถหลบภัย ที่บรรดาเจ้าของรถนำมาจอดเรียงชิดติดกันเป็นแนวยาวหลายร้อยคัน เบียดชิด จนคิดไม่ออกว่าจะนำรถแต่ละคันออกมาได้อย่างไร

ยิ่งสูง ยิ่งได้เปรียบ…

อย่างไรก็ตาม คันที่มาหลังๆ ได้อยู่ตีนสะพาน ก็ไม่อาจหลุดรอดจากน้ำ ที่ท่วมปิดมิดให้เจ้าของมองเห็นเพียงหลังคา

อีกฟากฝั่งของสะพานนี้ คือ เกาะเมือง สถานที่ที่เคยเป็นใจกลางเมือง มีที่อยู่อาศัยหลายพันครัวเรือน สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ประกอบการค้า ธุรกิจ โรงเรียน โบราณสถานที่สวยงาม ซึ่ง ณ วันนี้เกือบทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ…

เราล่องเรือลึกเข้าไปในเกาะเมือง ระดับน้ำยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่าใจหาย

พระนอนองค์ใหญ่ ถูกน้ำท่วมปริ่มหน้าอก อย่างน่าใจหาย

สุนัข 5-6 ตัว บนกำแพงอิฐ โบราณสถาน กำลังกินอาหารที่อาสาสมัครลุยน้ำระดับเอวเข้าไปให้ พวกมันกินอย่างหิวโหยก่อนเงยหน้าส่งสายตามองมาที่เรือของเรา

ไม่ใช่สายตาแทนคำขอบคุณ แต่เป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ราวกับกำลังถามว่า “พวกมนุษย์ พวกมึงทำอะไรกับโลกของกู?” 

เป้าหมายของเรือลำที่ผมนั่ง คือ ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นอัมพาตครึ่งตัว ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ซึ่งขาดเข็มฉีดยาและอินซูริน ฉีดเข้าร่างกายมา 3-4 วันแล้ว…

เราได้แวะเข้าไปในบ้านที่มีคนแก่ 2-3 คน ป่วยนอนซมอยู่บนชั้นสองของบ้าน คุณยายคนหนึ่งเจ็บขา ไม่สามารถเดินได้ เธอน้ำตาไหลและกล่าวขอบคุณเมื่อเห็นทีมพยาบาลเราเข้าไป แม้ทีมงานจะไม่ได้ติดเครื่องมือทางการแพทย์หรือยาอะไรมาให้แกเลย แต่มือนิ่มๆอุ่นๆ ที่จับและนวดขาให้แก ถ้อยคำปลอบใจเพียงไม่กี่ประโยคจากคนแปลกหน้าที่ปีนระเบียงเข้ามาเยี่ยมเยียน ก็เป็นยาใจที่ดีให้แกมีกำลังใจสู้ต่อไป

เรือเราลอยผ่านประตูรั้วโรงเรียนที่ปิดสนิท แต่น้ำท่วมมิดจนเรือลอยข้ามมาได้สบายๆ เข้าสู่สนามฟุตบอลที่คานประตูโผล่พ้นน้ำมาแค่หนึ่งคืบ  ภายในอาคารเรียน 4 ชั้น ที่ชั้นหนึ่งอยู่ใต้บาดาล มีผู้หญิง เด็กและคนแก่ ร่วม 160 ชีวิต อาศัยห้องเรียนเป็นที่หลบภัย เสื่อผืนหมอนใบ อยู่กินอย่างลำบากร่วมกันเป็นเวลาเกิน 1 สัปดาห์แล้ว

 ไม่มีใครได้ออกไปเซเว่น ไม่มีใครได้ออกไปทำผม ไม่มีใครได้ออกไปเดินตลาดนัด…แต่ก็ไม่มีใครคิดจะทิ้งถิ่นฐานและชุมชนไป

ส่วนผู้ชาย อาสานอนเฝ้าบ้านที่น้ำบุกรุกขึ้นมาปริ่มชั้น 2 เพราะถึงแม้วิกฤตน้ำท่วมจะแทบเอาชีวิตเราไปได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังไม่เลวร้ายเท่าโจรขโมยที่จ้องจะมาซ้ำเติมเพื่อนมนุษย์เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวได้ลงคอ

ตั้งแต่เช้ายันเย็น เราใช้เวลาทั้งวันในการปีนเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ โยนห่อข้าวขึ้นระเบียงบ้านนั้นบ้านนี้ ยกน้ำดื่มลงเรือลำนั้นลำนี้ แต่ก็กลับออกมาด้วยใจหดหู่…

มันไม่ใช่เป็นการทำบุญที่รู้สึกสบายใจ

มันไม่เหมือนการไปวัดทำบุญตักบาตรแล้วจิตใจเบิกบานผ่องใส่

มันไม่รู้สึกยกย่องตัวเองว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นช่างเท่ห์ระเบิด เป็นคนดีของสังคม น่าภาคภูมิใจ

แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไป มันช่างน้อยนิด…น้อยเกินไป

วันนี้เราเหนื่อยจากงานมาก แต่กลับไปก็ยังมีน้ำประปาสะอาดให้ชำระร่างกาย มีไฟฟ้าให้เปิดแอร์เย็นๆ นอนหลับสบาย มีน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบให้ดับกระหาย มีอาหารที่เราแย่งชิงกันไปโลตัสแล้วซื้อมากักตุนไว้กินอย่างมากมาย….

แต่คนที่อยู่ในนั้นเขาไม่มี…ชีวิตที่ครึ่งหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ ก็ยังคงต้องลำบาก ประหยัด เครียด กันต่อไปตลอด 24 ชม.

และลืมตาตื่นขึ้นมาทุกวัน ด้วยหวังว่าระดับน้ำรอบๆ กายจะใจอ่อนลดต่ำลงบ้าง จะมีเรือช่วยเหลือขับผ่านเข้ามาบ้าง ลูกน้อยในอ้อมกอดจะลดอาการไข้ลงบ้าง…

อยู่ด้วยความหวัง…

ทนทุกข์เพื่อชดใช้ชะตากรรม

ชะตากรรมที่เขาได้เคยทำ

พวกคุณก็ทำ

ชะตากรรมที่มนุษย์ทั่วทั้งโลกร่วมกันทำขึ้นมา…

คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า ?

เพลง คนขี้ลืม

ขับร้อง/เนื้อร้อง/ทำนอง : กองโต

เรียบเรียง : หีบห่อ

เพลงกาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว

ขับร้อง : พีระ เกษมราช

เนื้อร้อง / ทำนอง : กองโต

เรียบเรียง : หีบห่อ

 

เราทุกคนล้วนเป็นคนขี้ลืม…แต่อย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ลืมว่าเคยอยากทำอะไร

ในที่สุดผมก็เปิดสมุดบันทึกชีวิตและขีดเครื่องหมายถูก หน้าหัวข้อ “สิ่งที่อยากทำก่อนตาย” ได้อีกหนึ่งข้อ

นั่นก็คือ “การแต่งเพลง” นั่นเอง

ในครั้งนี้ผมร่วมกับเพื่อน พี่ น้อง ศิษย์เก่าสถาปัตย์ลาดกระบัง ในนามกลุ่ม “จานบิน” จัดทำละครเวทีเล็กๆ ขึ้น ชื่อเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว”

เหตุทั้งหมดเกิดจากความคัน (ไม่ใช่คันหูนะ) ความซุกซน อยู่ไม่สุข อยากปล่อยของ หรือที่เรียกว่า อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่อง(เหนื่อย)เข้ามาใส่ตัว แต่ก็ได้รอยยิ้มและประสบการณ์ชีวิตเพิ่มอีกไม่น้อย

เคยรู้มาว่าทำกิจกรรมในวัยเรียน นั้นเหนื่อย

แต่ก็เพิ่งรู้ว่า ทำกิจกรรมในวัยทำงานนั้น เหนื่อยกว่าเยอะ!

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ร่วมเขียนบท เป็นนักแสดง และที่สำคัญคือการแต่งเพลง (ด้วยทักษะทางด้านดนตรีเท่ากับศูนย์)

และทั้ง 2 เพลงที่นำมาโพสต์ลงในบล็อกนี้ ก็คือผลงานของผม อยากให้ลองฟังกันครับ

ส่วนละครเวที กาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว จะเล่นวันที่ 30 ก.ย.-2 ต.ค. 2554 นี้

ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ

http://www.facebook.com/Once.Forgot.Then ติดตามรายละเอียดและจองบัตรที่นี่ครับ

เพลงกาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว โดย กองโต ครับ

เพลงกาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว

ประกอบละครเวทีเรื่อง กาลครั้งหนึ่ง…ลืมไปแล้ว (30 ก.ย. – 2 ต.ค. 2554)

เนื้อร้อง ทำนอง โดย กองโต ^^

เข็มทิศในโลกมืด

= =

จะเป็นอย่างไรหากคุณต้องตื่นขึ้นมาพบกับโลกที่ไร้แสงสว่าง…

และต้องใช้ชีวิตหลังจากนี้โดยปราศจากดวงตา?

 ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราทำงาน เดินทาง รับรู้ข่าวสาร พักผ่อนหย่อนใจ ทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างโดยมีประสาทสัมผัสทางการมองเห็นเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทุกคนรู้แก่ใจว่าหากขาดดวงตาไป ชีวิตที่เหลืออยู่คงดำเนินไปอย่างลำบาก ไม่คล่องแคล่วเหมือนดังเดิม…

แต่ในขณะเดียวกัน บนโลกใบเดียวกันนี้ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถดำเนินชีวิต มีการศึกษา ประกอบอาชีพ ได้ไม่ต่างจากคนทั่วๆ ไป โดยไม่พึ่งพาการมองเห็น คนกลุ่มที่ว่านี้คือ กลุ่มผู้พิการทางสายตาที่เราเรียกสั้นๆ ว่า คนตาบอด ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด

คนกลุ่มนี้มักสร้างความทึ่ง ความประหลาดใจให้กับคนทั่วๆ ไป เวลาที่พบเห็นว่าพวกเขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทำอะไรยากๆ (หรือง่ายๆ) ได้แม้ดวงตามืดบอด…

แต่เราก็มักจะตั้งคำถามว่า “พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร?” แล้วปล่อยให้เป็นเพียงแค่ความอัศจรรย์ใจ โดยปราศจากการค้นหาคำตอบ…

กบนอกกะลาจึงรับอาสาพาพวกเราไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนตาบอดให้มากขึ้น ด้วยภารกิจเกาะติดชีวิตคนตาบอด ให้จูงมือเราเดินทางเข้าสู่โลกอันมืดมิดของพวกเขา เพื่อค้นหาคำตอบ เคล็ดลับ เทคนิคในการดำเนินชีวิตของพวกเขา เริ่มจากการ ‘ค้นกระเป๋าคนตาบอด’ เพื่อดูว่าพวกพี่ๆ เขาพกพาอะไรไว้ในกระเป๋าวิเศษบ้าง ทำให้เราได้พบสิ่งประดิษฐ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาคนตาบอดที่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสเข็มแทนการเหลียวมองดูตัวเลข เสลทและสไตลัส อุปกรณ์สำคัญที่เปรียบเสมือนดินสอของคนตาบอดให้สามารถจดบันทึกเป็นอักษรเบรลล์ได้ทุกที่ทุกเวลา และอุปกรณ์อีกอย่างที่ไขข้อข้องใจของหลายๆ คนว่า คนตาบอดหยิบเงินจับจ่ายใช้สอยได้ถูกต้องได้อย่างไร นั่นคือ เครื่องแยกธนบัตร ที่จะช่วยให้คนตาบอดหยิบแบงค์ 20 ซื้อโอเลี้ยงได้ถูกต้องแทนที่จะหยิบแบงค์ 500 และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คนตาบอดต้องหนีบติดตัวไปทุกที่นั่นคือ ‘ไม้เท้าขาว’ สัญลักษณ์สากลของคนตาบอดทั่วโลก ที่เปรียบเสมือนดวงตาในการนำพาสองเท้าคนตาบอดให้ก้าวเดินไปตามสถานที่ต่างๆ อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การใช้ไม้เท้าขาว การเขียน-อ่านอักษรเบรลล์ และการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดนี้ล้วนถูกฝึกสอนมาแล้วจาก ‘โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ’ สถานที่ที่สร้างก้าวแรกทั้งพื้นฐานชีวิตและการศึกษาให้กับคนตาบอด

กบนอกกะลาจึงไม่รอช้า รีบบุกเข้าโรงเรียนที่ไร้กระดานดำแห่งนี้ เพื่อแอบดูเคล็ดลับของคุณครูในการสอนน้องๆ ที่ตามองไม่เห็น พร้อมสื่อการสอนต่างๆ มากมาย ที่ใช้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นๆ เรียนรู้แทนดวงตา ทำให้เราได้รู้ว่าการท่อง ก.ไก่ – ฮ.นกฮูก ของน้องๆ ตาบอด ยากกว่าท่องแบบเด็กทั่วๆ ไปหลายเท่า (เพราะนอกจากต้องจำพยัญชนะให้ได้ทุกตัวแล้ว ยังต้องจำรหัสอักษรเบรลล์ของพยัญชนะแต่ละตัวอีกด้วย)

 เมื่อเรียนรู้ทุกวิชา ทุกระดับชั้นในโรงเรียนสอนคนตาบอดแล้ว เราจึงติดตามไปดูกิจกรรมยอดฮิตของคนตาบอดอีกอย่างก็คือ การโยนโบว์ลิ่ง!

ใครจะเชื่อว่ากีฬาที่ต้องใช้ความสมดุลของร่างกาย ความแม่นยำของสายตาจะถูกพิชิตให้ ‘สไตรค์’ อย่างราบคาบด้วยฝีมือคนตาบอดสนิทและ ‘อุปกรณ์ช่วย’ เพียงอย่างเดียว นอกจากโบว์ลิ่งแล้ว กบนอกกะลาจะพาไปชม ยูโดคนตาบอด! ปิงปองคนตาบอด!! และโกลบอล กีฬายอดฮิตสำหรับคนตาบอดที่เล่นกันได้เร้าใจ ดุเด็ดเผ็ดมันและที่สำคัญต้องปิดตาเล่นกันในความมืดตลอดทั้งเกม นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของ ‘หนังสือเสียง’ เพื่อนคู่ใจชนิดเดียวของคนตาบอดที่ทั้งให้ความรู้ ความบันเทิง ข่าวสารและจินตนาการ โดยการแบ่งปันจากเพื่อนๆ ร่วมโลกที่สละเวลามาแปลงตัวหนังสือหลายแสนล้านตัวในตำราเล่มหนา ให้กลายเป็นเสียงอันมีค่ามหาศาลสำหรับคนตาบอด

ตบท้ายด้วยข้อคิดจาก อ.มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ผู้ดำรงตำแหน่ง ‘สมาชิกวุฒิสภา’ ผู้มีดวงตามืดบอดตั้งแต่กำเนิด จะมาบอกเล่าถึงอาชีพพี่ๆ คนตาบอด และศักยภาพที่หลายคนไม่เคยคาดคิด

…โลกอันมืดมิดของพวกเขานั้นกว้างใหญ่สักเพียงใด อุปกรณ์วิเศษอะไรบ้างรอบๆ ตัวเราที่คอยนำทางให้พวกเขาดำเนินชีวิตในสังคมเดียวกันได้ การให้ ‘คนตาบอด’ นำทาง ‘คนตาดี’ ในครั้งนี้ จะช่วยให้เรา ‘มองเห็น’ อะไรบ้าง ร่วมเดินทางไปในโลกอันมืดมิดที่แสนสว่างสดใสของคนตาบอด ไปกับกบนอกกะลา ตอน ‘เข็มทิศในโลกมืด’ ศุกร์ที่ 29 ก.ค. และ 5 ส.ค. 2554 นี้ 20.40 น. โมเดิร์นไนน์ทีวี

เผื่อจะตาสว่างกันขึ้นครับ ^^

วันที่ผมไปดูบอล ‘ที่สนาม’

ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ไปดูบอลไทย ที่ “สนาม”

ผมก็คงไม่มีโอกาสได้เห็น…

-แม่พาลูกไปยืนตรงอุโมงค์นักกีฬา “เดี๋ยวพ่อเดินออกมาแล้วยื่นมือไปแตะมือพ่อด้วยนะลูก… มาแล้วๆ…” ^^

 

-พริตตี้สาวสวย(มาก)……………………………………(มาก จริงๆ นะ)

 

-ภาระอันหนักหน่วงของกรรมการคนที่ 4 (ริมสนาม) ที่ต้องคอยรับมือกับโค้ชที่เกรี้ยวกราด ตลอดเวลา (ย้ำ ตลอดเวลา!)

 

-รปภ.ริมสนาม บุรุษที่ได้อยู่ชิดริมขอบสนามครบ 90 นาทีทุกนัด  แต่ไม่เคยได้ดูบอลเลย (เพราะต้องยืนตามระเบียบพัก หันหน้าเข้าหากองเชียร์ตลอด -*-)

-เด็กเก็บบอล วัยสิบสองขวบ…ที่เดาะบอลได้เป็นพันครั้ง…

 

-เพลงเชียร์กระหึ่ม ภาษาไทย ที่ร้องจากใจ และศรัทธา…(ขนลุก)

 

-สุรชัย จิระศิริโชติ ตำนานปราการหลังทีมชาติไทย …ในบทบาทคนขายหมูทอดเงียบๆ หน้าสนาม

 

-การเกื้อกูลกัน บนม้านั่งนักข่าวกีฬา

      เปรี้ยง! เฮ!!!!

     ช่อง3 : เอ่อ…เข้ายังไงวะ ดูทันมั้ย?

     สยามกีฬา : ไม่ทันเหมือนกันครับพี่…

   สปอร์ตแชนแนล : ชิบหายแล้ว….ใครดูทันมั่งวะ!!?!

    94 FM : เบอร์ 23 ครับ!! โหม่ง…เข้าประตูตัวเองพี่!

   นักข่าวอีกสิบกว่าชีวิตที่เหลือ : … (ก้มลงพิมโน้ตบุคโดยพร้อมเพรียงกัน!)

 

-กองหน้าตัวดำ เดินบ่นเป็นภาษาแอฟริกัน หงุดหงิดที่เพื่อนไม่ส่งบอลให้…

 

– นักบอลชอบนอน…(พอทีมมันขึ้นนำ มันนอนตลอดเลย) ZZzzZzzZ

– เกมฟุตบอล ที่มีการเจ็บมากที่สุดที่ผมเคยดูมาในชีวิต (ทีมที่นำอยู่ มันเจ็บ มันนอนทุก 5 นาที)……………….(ไม่ได้โม้นะ ทุก 5 นาทีจริงๆ)

-หลังจบเกม – การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และให้เกียรติ (แม้จะตะโกนโห่มาตลอดเกม) ^^

แค่จะบอกว่า

ไปดูบอลไทย ในสนามกันเถอะครับ :]

สัปดาห์นรก…ที่แตกต่าง

สัปดาห์นรก

 

 

 

(สัตหีบ 2553)

เมษายนที่ผ่านมา

ผมเดินทางมาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง

โรงเรียนนี้อยู่บนเกาะเล็กๆ ซึ่งแยกตัวออกมาจากแผ่นดินใหญ่ในสัตหีบ

ไม่มีนักเรียนหญิง ม.ปลาย ผมยาวผูกโบ ให้เหล่ตามอง – มีเพียงกลุ่มชายหนุ่ม ผมสั้นเกรียน หน้าไหม้เกรียม ผิวหยาบกร้าน

ไม่มีตำราเรียนหนาเตอะ และข้อสอบคิดคำนวณแสนปวดหัว – มีเพียงท่อนซุง เรือยาง แสงแดด ความร้อน น้ำทะเล ความหิว ความเหนื่อย ความเจ็บ ความล้า และความทรมาน เป็นแบบฝึกหัด

โรงเรียนนี้ใช้เวลาเรียนเพียงแค่ 8 เดือน ไม่กินระยะเวลายาวนานเหมือน 4 ปีในมหาวิทยาลัย

เรียนจบแล้วก็ไม่มีปริญญามอบให้ –มีเพียง ตราเล็กๆ รูปฉลามคู่ หนึ่งอัน ไปแปะบนหน้าอกข้างซ้าย

และสามารถเดินออกไปจากเกาะนี้ได้ พร้อมเรียกตัวเองว่าเป็น นักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ หน่วย SEAL ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

 พวกเขาคือ หน่วยรบที่ดีที่สุด เท่าที่โลกจะสร้างขึ้นได้…

 

 

 

สัปดาห์นรก คือชื่อของบททดสอบ ด่านหนึ่ง ที่พวกเขากำลังจะก้าวเข้าเผชิญหน้ากับมัน

หากใครได้มาสัมผัสกับตารางการฝึกในช่วงนี้เหมือนผม คงรู้สึกเช่นเดียวกันว่า หากจะเปรียบเทียบกับ ‘นรก’ ดังที่ตั้งชื่อนั้น ก็ไม่รู้สึกว่า ‘เกินจริง’…

 

ขออนุญาตขยายความ ‘ความนรก’ ของสัปดาห์นี้

การฝึกสัปดาห์นรกของหน่วย SEAL นี้ ก็ไม่มีอะไรมาก…ตลอด 120 ชั่วโมงต่อจากนี้ ทุกคนจะต้องฝึกอย่างหนัก ติดต่อกันตลอดเวลา โดยไม่มีการนอน ไม่มีการพัก ไม่มีการอาบน้ำ ประแป้ง เปลี่ยนเสื้อผ้า โทรหาแม่ยาย…

 

ไม่มีการยกมือขอร้อง วิงวอน ขอเวลานอกใดใด

 

ไม่ว่าจะตอนเช้าฟ้าสาง หรือช่วงเที่ยงที่แดดจัดๆ พยายามจะฉีกร่างกายคุณออกด้วยความร้อน และรีดเค้นของเหลวออกจากร่างกายของคุณจนแห่งเกรียม หรือตอนพลบค่ำที่มืดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง

พวกเขาจะยังคงอยู่ในสนามฝึก แบกซุงขึ้นเขาอันสูงชัน แบกเรือยางข้ามโขดหินอันแหลมคม นอนเกลือกกลิ้งไปกับพื้นถนนที่ร้อนเหมือนกระทะ ว่ายน้ำทะเลระยะทางไกลด้วยพันธนาการที่มัดมือและเท้าเอาไว้ กระโดดลงในบ่อน้ำแข็งที่ความยะเยือกเย็นพร้อมที่จะจู่โจมไปหยุดการเต้นของหัวใจ ฯลฯ

ต่อสู้กับความกลัว ความง่วง ความเจ็บ แสบ ปวด ล้า เหนื่อย ร้อน หนาว และทรมาน

 

เอาชีวิตรอดให้ได้ คือ เส้นชัยของบททดสอบนี้

 

 

ช่วงระยะเวลา 5 วันที่ผมเฝ้าติดตามการฝึก เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น-ลงหลายต่อหลายครั้งในขณะที่การฝึกยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

 ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าขีดจำกัดของมนุษย์ 1 คน จะทำได้มากมายขนาดนี้

 บางคนหมดสติ บางคนพูดจาไม่รู้เรื่อง บางคนร้องไห้ บางคนตั้งคำถามกับตัวเอง ว่ากูมาอยู่ตรงนี้ทำไม

แต่ก็มีเวลาให้ความอ่อนแอไม่มากนัก  พวกเขาต้องลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับสัปดาห์นรกต่อไป ด้วยเกียรติของชายชาติทหาร

 

———————————————————————————

(กรุงเทพมหานคร 2553)

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สัปดาห์นรก’ ของผม คนกรุงเทพฯ และประเทศไทย เลยก็ว่าได้

หากเปรียบเปรยกับคำว่า ‘นรก’ ก็คงไม่รู้สึก ‘เกินจริง’ เช่นกัน

 

City Of God – กรุงเทพมหานคร ลุกเป็นไฟ !!

เมืองหลวงร้อนระอุ คนที่เสียหายร้อนรน คนที่อยู่ไกลร้อนใจ คนที่ลงมือร้อนแรง ราวกับมีกระทะทองแดงเทราดลงบ้านเมืองที่เคยศิวิไลและสงบสุข

ในจอโทรทัศน์ทุกช่อง หน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เต็มไปด้วยภาพของ เปรตขอส่วนบุญ ที่เมื่อไม่ได้ทุกอย่างตามใจหมาย ก็เลือกวิธีทำลายข้าวของเหมือนเด็กๆ ที่ขาดการอบรม

 

กลุ่มผีห่าซาตานที่อาละวาดในนรกที่ว่านี้ เปลี่ยนถนนที่เราเคยเดินถือลูกชิ้นปิ้งกินอย่างสบายใจ ให้กลายเป็นสนามรบในชั่วข้ามคืน

 

 

บางคนโกรธแค้น บางคนสูญเสีย บางคนร้องไห้ บางคนตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่นี่คือที่ไหน

ในขณะที่บางคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ กำลังเชื่อฟังใคร และรับใช้มันไปเพื่ออะไร?

และบางคนก็ขาดปัญญาที่จะคิดขึ้นได้ว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพียงเพราะการพ่นน้ำลายพร่อยๆ ออกมา 2-3 ประโยคของตัวเองนั้น จะสร้างความฉิบหายให้บ้านพ่อบ้านแม่ตัวเองมากซักแค่ไหน

 

 

ผมนึกภาพย้อนไปที่ สัปดาห์นรกของการฝึกหน่วย SEAL ที่สัตหีบ

คนกลุ่มหนึ่ง เหนื่อย หนัก เจ็บ ทรมาน เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อฝึกฝนวิชา นำมาปกป้องอธิปไตยของประเทศ เพียงเพราะคำว่า ‘ชาติ’

 

ในขณะที่สัปดาห์นรกที่เกิดขึ้นในเมืองนี้

คนกลุ่มหนึ่ง ใช้อารมณ์มาควบคุมสติ ใช้ความโกรธ เดือดดาน เครียดแค้น โง่เขลา สะใจ และคึกคะนอง มาทำลายชาติบ้านเมืองตนเอง เพียงเพราะคำว่า ‘ผลประโยชน์’

 

 

การฝึกอันเหนื่อยหนักแทบขาดใจของทหาร หรือการปฏิบัติหน้าที่ของทหารรักษาดินแดน ทหารภาคใต้ ที่แลกชีวิตไป …จะเกิดคุณค่าอะไร?

ชีวิตที่แลกไปเพื่อปกป้องแผ่นดินไว้ ไม่ให้ใครมารุกราน…

…เพื่อให้คนบนแผ่นดินนี้ ลงมือทำลายมันเองอย่างนั้นหรือ?

 

คนไม่มีเวลา

 

ผมชอบเขียนหนังสือ

แต่ทุกวันนี้ ผมไม่มีแรงเขียนหนังสือ

ผมชอบดูภาพยนตร์

แต่ทุกวันนี้ ผมเผลอหลับทุกครั้งที่เข้าโรงหนัง

ผมชอบฟังเพลง

แต่ทุกวันนี้ การฟังเพลงคือการรบกวนสมาธิการทำงานของผม

 

ยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม บนชั้นวางหนังสือที่หน้าปกยังใหม่เอี่ยม ไม่ได้ถูกเปิดอ่าน

รวมถึงหนังน่าดูอีกหลายเรื่อง ที่ทยอยเข้าและออกจากโรง ราวกับการขึ้นและตกของพระอาทิตย์ทุกๆ วัน โดยที่ผมได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป

ยังมี DVD อีกหลายเรื่องที่ยังคงถูกซองพลาสติกห่อหุ้ม และวางเบียดกันอยู่ในตู้ที่บ้าน

 

ทุกวันนี้ผมเดินทางตลอดเวลา

ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับการ โกยกางเกงในตัวเก่าออกจากกระเป๋า โยนลงตระกร้า แล้วใส่กางเกงในตัวใหม่ลงในกระเป๋าเดินทาง

ก่อนที่จะปิดประตูปึ้ง! ออกจากบ้านไป

ซ้ำซ้ำ ซ้ำซ้ำ ซ้ำซ้ำ

 

ผมไม่เคยเดินทางเยอะแยะมากมายอย่างนี้มาก่อน

ผมไม่เคยเดินทางไปสถานที่ไกลๆ อย่างนี้มาก่อน

ผมไม่เคยคุยกับคนแปลหน้าที่ไม่รู้จัก อย่างนี้มาก่อน

จนกระทั่งได้มาทำงานที่นี่

 

“และที่นี่ทำให้ผมรักการเดินทาง”

ที่นี่ทำให้ผมรักการพูดคุยกับคนแปลกหน้า

ชาวบ้าน เกษตรกร คนแก่ เด็ก คนขับรถบรรทุก คนขับแท็กซี่ คนเมา

ฯลฯ

 

งานที่นี่เอาเวลาจากชีวิตผมไปมากมาย

ในขณะเดียวกันก็เพิ่มเติมอะไรหลายอย่างเข้ามาในชีวิตจนแน่นเอี้ยด

แต่จะแน่น จะเยอะอย่างไร…สำหรับวันนี้มันก็ยังไม่เต็มอิ่ม

 

ผมยังคงลืมตาตื่นขึ้นมาทุกวันด้วยความรู้สึกท้าทายกับงานที่รออยู่

แม้ว่าจะขี้เกียจ แม้ว่าจะยังอยากนอนต่อ แต่ก็ไม่เคยท้อที่จะต้องตื่น…

 

—————————————

ทุกวันนี้ผมทำงานอย่างหนัก

ผมบอกทุกคนว่างานเยอะ (มาก)

แต่ผมไม่เคยพูดคำว่า “เหนื่อย”

 

เพราะ ความเหนื่อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา หรืแรงกายที่เสียไปให้กับงาน เสมอไป

ผมเคยทำงานที่เบากว่านี้ สบายกว่านี้หลายเท่า แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึก

เหนื่อย และ หน่าย

 

เหนื่อยกาย หลับตา กรนดังๆ ให้น้ำลายเลอะปลอกหมอนซัก 1 คืน

ตื่นขึ้นมาก็หายเหนื่อย

แต่เหนื่อยใจ กับงานที่เราไม่ได้มีความสุข ไม่ได้สนุก ไม่ได้ท้าทายต่อชีวิตเรา

ต่อให้นอนพักผ่อนเยอะเพียงใด ก็ไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงมาทำงาน…

เห็นด้วยไหมครับ?

————————————————————-

 

เคยมีรุ่นพี่หลายคนให้ข้อคิดกับผมว่า อย่าอ้างว่า “ไม่มีเวลา”

หากเรา ‘รัก’ ที่จะทำอะไรแล้ว เราจะหาเวลามาให้มันเอง…

ผมพยายามทำความเข้าใจกับประโยคนี้ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวที่จะเข้าใจมัน

 

ผมทำงานจนไม่มีเวลาให้กับคนรัก และยอมสละเธอไป

แปลว่าผมไม่รักเธอหรือ?

ผมทำงานจนไม่มีเวลากลับมาเจอหน้าครอบครัว

แปลว่าผมไม่รักพวกเขาหรือ?

ผมทำงานจนไม่มีเวลาไปเดินเที่ยว สังสรรค์ เตะบอลกับเพื่อนๆ

แปลว่าผมไม่รักพวกมันหรือ?

ผมทำงานจนจนไม่มีเวลาเขียนหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ละครเวที คอนเสิร์ต

แปลว่าผมไม่รักที่จะเสพงานศิลปะพวกนี้ต่อไปอีกแล้วหรือ?

ผมทำงานจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง

แปลว่าผมไม่รักตัวเองหรือ?

 

หรือความรักของผม มันยังมากไม่เพียงพอ???

และทำให้ผมยังต้องยืนยันคำเดิมว่า

“ผมไม่มีเวลาจริงๆ”

 

 

ผมไม่วิงวอนให้งานน้อยลง

ผมรักในงานหลักของผม และผมชอบที่จะทำงานหนัก

 

ผมไม่วิงวอนให้มีเวลาเพิ่มมากกว่า 24 ชั่วโมงในแต่วัน

เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็คงเอาชั่วโมงที่ 25 ไปทำงานอยู่ดี

 

แต่ผมอยากวิงวอนขอ แรง เพิ่มได้ไหม

ผมอยากมีแรงมากกว่านี้ สำหรับการเขียนหนังสือที่ผมรัก

อยากมีแรง มีสมาธิ ในการดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ โดยที่ไม่ต้องอ่อนเพลีย ง่วงหงอย และเผลอหลับไปเสียก่อน

 

อยากมีแรงทำอะไรหลายๆ อย่างให้มากกว่านี้

ให้อยู่ในระดับมาตรฐานที่ผมทำได้ ไม่ต้องดีขึ้น แต่ขอให้ไม่แย่ลงไปกว่าเดิม

 

หรือ

ผมอาจจะโลภ กับการทำงานมากเกินไป?